
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (แสนสิริ) เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ด้วยวิสัยทัศน์ในการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ จึงมุ่งดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกไลฟ์สไตล์บ้านคอนโด และทาวน์เฮาส์ บนความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่า พร้อมยกระดับความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งนี้ แสนสิริ ได้มีการพัฒนาให้ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยมีความทันสมัยและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นผ่านเทคโนโลยีด้านสมาร์ทกริดในปัจจุบัน ซึ่งการดำเนินโครงการของ แสนสิริ สามารถสรุปรายละเอียดสำคัญได้ดังต่อไปนี้
รายละเอียด:
BCPG จะเป็นผู้ลงทุนติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ในโครงการของแสนสิริ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการสามารถผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ด้วยตนเอง รวมถึงยังสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนไฟฟ้าระหว่างกันภายในโครงการได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยการใช้ Block Chain Technology และแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน
ที่มา:
รายละเอียด:
แสนสิริ มีแผนที่จะพัฒนาสมาร์ท คอนโด โดยใช้เทคโนโลยี Internet of Things: IoT ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป ซึ่งจะเน้นกลยุทธ์ในการยกระดับสมาร์ท คอนโด ผ่านแนวคิด 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience (ความสะดวกสบาย) iSafe (ความปลอดภัย) และ iGreen (ด้านประหยัดพลังงาน)
สมาร์ทคอนโด
ที่มา:
รายละเอียด:
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัว “Bangkok’s First Solar Bus Stop with Wireless Charger” หรือ “จุดพักรถพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกในไทยที่สามารถชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายได้ทันที” ครั้งแรกที่ T77
โครงการ Bangkok’s First Solar Bus Stop with Wireless Charger
ที่มา:
รายละเอียดการดำเนินงาน
ในปีนี้แสนสิริต้องการมุ่งเน้นส่งเสริมลูกบ้านขับเคลื่อนชีวิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเล็งเห็นเทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา สภาพสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหามลพิษ เช่น ฝุ่น PM 2.5 จึงได้ผนึกกำลังกับ “ชาร์จฯ” (SHARGE Management) ผู้ให้บริการด้านพลังงานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างครอบคลุม (leading electric vehicle charging solution provider) ตั้งเป้าผลักดันให้เกิดความตระหนักในการใช้รถยนต์ EV ในประเทศไทย โดยเตรียมพร้อมขยายจุดให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมทั้งคอนโดมิเนียมทุกเซ็กเมนต์ และต่อยอดไปสู่บ้านเดี่ยว ซึ่งการผนึกความร่วมมือกับชาร์จฯ ในการส่งเสริมความยั่งยืนเรื่องพลังงานครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องใหม่ของแสนสิริ โดยแสนสิริมีเป้าหมายให้คนทั่วไปหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะเชื่อว่าทุกคนรักษ์โลก และอยากจะช่วยรักษาสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น แต่พวกเขาอาจไม่รู้ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง โดยที่ผ่านมาประเทศไทยเริ่มมีการใช้รถยนต์ระบบไฮบริด (hybrid) ที่ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงลงได้เกือบเท่าตัว แต่รถยนต์ EV มีประสิทธิภาพในการช่วยสิ่งแวดล้อมและประหยัดเงินมากกว่า อีกทั้งขณะนี้ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจรถยนต์ EV เพียงแต่ประเทศไทยยังมีผู้ใช้น้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ รวมถึงสถานีชาร์จไฟสำหรับรถ EV ในไทยยังมีน้อย จึงไม่เอื้อต่อการให้คนไทยใช้ แต่อีกไม่นาน รถยนต์ EV จะได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศไทย หากหลายหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนช่วยกันส่งเสริม เพราะรถยนต์ EV มีประโยชน์หลายด้าน ทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ารถยนต์น้ำมัน สร้างมลพิษน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงแบบอื่นๆ ทั้งยังช่วยให้ประเทศชาติลดการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกได้ เพราะปล่อยมลพิษน้อยมากจนเกือบจะเท่ากับศูนย์ ช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา แสนสิริให้บริการรถยนต์ไฟฟ้า SMART MOVE แก่ลูกบ้านทั้งหมด 11 คัน และนำร่องใช้ Audi e-tron รถยนต์ลักเซอรี่พลังงานไฟฟ้ามาใช้ภายในองค์กรแสนสิริอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น ในปีนี้ แสนสิริจึงให้ความสนใจขยายจุดชาร์จในโครงการเพิ่มขึ้น ตอบรับการใช้รถยนต์ EV ของลูกบ้านในอนาคต”
สำหรับการร่วมมือกับ “ชาร์จฯ” ครั้งนี้ แสนสิริมีแผนขยายการให้บริการ 2 ด้าน คือ
- เพิ่มฟีเจอร์การจอง-จ่ายจุดชาร์จ (EV charging station) กว่า 200 หัวชาร์จ ของ ชาร์จฯ และเครือข่ายที่กระจายอยู่ทั้งในที่พักอาศัย และแหล่งไลฟ์สไตล์ ผ่านแอปพลิเคชั่น Sansiri Home Service อำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านว่า
ที่ชาร์จว่างหรือไม่ โดยไม่ต้องเดินมาดู และสามารถจ่ายเงินได้ด้วยบัตรเครดิต - ยกระดับความสะดวกของลูกบ้านในการเดินทางด้วยรถ EV โดยจะติดตั้งจุดชาร์จที่โครงการคอนโดมิเนียม เพิ่มหัวชาร์จให้ครบทั้งหมด 81 หัวชาร์จ ใน 25 โครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ภายในปี 2020 และโครงการบ้านเดี่ยว โดยจะมีการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับการชาร์จรถ EV แบบ 3 เฟส ในโครงการบ้านเดี่ยวเซ็กเมนต์ B ขึ้นไป อาทิ เศรษฐสิริ พหล-วัชรพล, เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2 และบ้านแสนสิริ พัฒนาการ เพื่อช่วยลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย
แสนสิริกำลังพยายามให้ทุกคนตระหนักถึงความยั่งยืน และการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องพลังงาน แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดการขยะ-ของเสีย (waste management) การลดใช้พลาสติก โดยที่ผ่านมามีการทำ wind turbine หรือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ใช้ในพื้นที่จำกัดในเมือง โดยนำมาติดในโครงการแสนสิริ และโครงการบ้านแนวราบ แนวสูง และเป้าหมายต่อไปจะขยายจุดชาร์จรถ EV ให้ครอบคลุมทุกโครงการไปเรื่อยๆ
ในส่วนของแอปพลิเคชั่น Sansiri Home Service ตอนนี้มีลูกบ้านประมาณ 46,000 คนที่ใช้แอป จากจำนวนลูกบ้านทั้งหมดประมาณ 100,000 คน นอกจากยังได้มีการเพิ่มจุดเด่นของแอปด้วยฟังก์ชั่นของ SHARGE แล้ว และยังตอบโจทย์ลูกบ้านอีกหลายด้าน เช่น การติดต่อกับนิติบุคคล ดูประกันมิเตอร์ไฟ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ บริการ visitor management (บริหารจัดการแขกที่มาเข้าออกบ้าน) และในช่วงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาด โดยได้จัดให้แอปสามารถเชื่อมต่อกับโรงพยาบาล สมิติเวช เพื่อให้ลูกบ้านสามารถปรึกษาสุขภาพ รวมไปถึงพาร์ทเนอร์กับบริษัทที่รับทำความสะอาดบ้านให้ลูกบ้าน เป็นต้น
ชาร์จฯ กล่าวว่า ภาพรวมรถยนต์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนอยู่ในไทยตั้งแต่ปี 2562 จนถึงเดือนเมษายน 2563 มีประมาณเกือบ 160,000 คัน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ 1) ไฮบริด หรือ HEV (hybrid electric vehicle) 2) ปลั๊ก-อิน ไฮบริด หรือ PHEV (plug-in hybrid electric vehicle) 3) แบตเตอรี่อิเล็กทริก หรือ BEV (battery electric vehicle) โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ PHEV และ BEV ซึ่งมีประมาณ 40,000 คัน เพราะ 2 รุ่นนี้ง่ายต่อการใช้ โดยมีปลั๊กให้สามารถเสียบชาร์จได้ อีกทั้งยังวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่ารถที่เป็นระบบไฮบริด โดยปัจจุบันตลาดรถยนต์ EV ในไทยโตอยู่ที่ประมาณ 16% ต่อปี ในขณะที่ต่างประเทศส่งเสริมการใช้รถยนต์ EV มากกว่าประเทศไทย เช่น จัดโปรแกรมลดราคา หรือรัฐบาลช่วยเรื่องภาษี จึงคาดว่าจะโตเพิ่มประมาณ 30-40% และจากการประเมินแนวโน้มความต้องการหัวชาร์จพบว่า หาก 1 หัวชาร์จสามารถให้บริการรถพลังงานไฟฟ้าได้ 2 คัน เท่ากับว่าจะต้องมีหัวชาร์จเพิ่มขึ้นทั้งหมด 50,000 หัวชาร์จ ภายในปี 2025 ในประเทศไทย ตอนนี้บริษัททำอยู่ 2 ส่วนหลักๆ คือ ระบบฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ในส่วนของฮาร์ดแวร์ เราให้บริการอุปกรณ์การชาร์จ ส่วนของซอฟต์แวร์ คือ ระบบ IoT ระบบคอนโทรลเครื่องชาร์จเชื่อมกับโทรศัพท์มือถือ เช่น การเชื่อมต่อบนแอปพลิเคชั่น Sansiri Home Service ผู้ใช้งานรถยนต์ EV 80% มีพฤติกรรมในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน 15% ชาร์จตามสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น ออฟฟิศ ห้างสรรพสินค้า และ 5% ที่จุดให้บริการหรือสถานที่พักรถ
ในส่วนของ ชาร์จฯ ได้ดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมการชาร์จกว่า 95% ในโครงการที่พักอาศัย บ้านเดี่ยว และห้างสรรพสินค้า ตึกออฟฟิศ และศูนย์ประชุมต่างๆ โดยความร่วมมือกับแสนสิริครั้งนี้ถือเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่รายแรกที่เราทำพาร์ตเนอร์ชิปด้วย ทั้งนี้ เพราะเป้าหมายหลักของ “แสนสิริ” และ “ชาร์จฯ” คือ พยายามสร้างความตระหนักการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และทำให้คนไทยได้รู้ว่าสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าแจ้งเกิดในประเทศไทย และการที่มีสถานีเพียงพอจะทำให้คนกล้าที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ที่มา:
รายละเอียดการดำเนินงาน
แสนสิริ ยอมรับว่า การเข้ามาของโควิด-19 ส่งผลให้แลนด์สเคปของอสังหาริมทรัพย์ เปลี่ยน แนวโน้มคนทำงานที่บ้าน (Work from Home) มากขึ้น ส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องอยู่อาศัยใกล้ที่ทำงานในเมืองอีกต่อไป ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยที่ใกล้ที่ทำงาน “ลดลง” จากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้แสนสิริ ต้องปรับแผนเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ รวมทั้งกลยุทธ์การตลาดใหม่ เตรียมพร้อมรับกับวิถีชีวิตใหม่ (New normal) โดยบริษัทต้องมองหาโอกาสจากวิกฤติ ด้วยการมุ่งสู่ “New S-Curve” หรือการหาแหล่งรายได้ใหม่หลังโควิด โดยแผนหนึ่งที่จะเร่งดำเนินการ คือ การหาแหล่งรายได้ใหม่ (New S-Curve) หลังจากที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้ผ่าน “สิริเวนเจอร์” โดยมีแผนที่จะนำระบบรักษาความปลอดภัยพื้นที่ส่วนกลาง LIV-24 ที่ควบคุมแบบเรียลไทม์ ขยายการให้บริการสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริหารทั่วประเทศพร้อมทั้งมีแผนต่อยอด และขยายขอบเขตการบริการของ Home Service Application ภายใต้ชื่อแอปพลิเคชั่น “YUU” หลังประสบความสำเร็จจากประสบการณ์ให้บริการในลูกบ้านแสนสิริกว่า 40,000 ราย ใน 300 โครงการสู่โครงการอื่นๆ ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารทั่วประเทศทั้งโครงการเก่าและใหม่ ช่วงปลายปีนี้
ที่มา:
รายละเอียดการดำเนินงาน
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2563 แสนสิริ ร่วมกับ MEA เปิดตัว โครงการพัฒนา MEA Smart Life Platform เพื่อขยายการบริการ และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า พร้อมนำร่องติดตั้ง MEA Smart Charging for Electric Vehicles ในโครงการของ แสนสิริ ณ เดอะ ไลน์ พหลฯ – ประดิพัทธ์ โดย MEA ในฐานะหน่วยงานผู้ให้บริการด้านระบบไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับงานบริการที่ทันสมัยตอบรับความต้องการวิถีชีวิตคนเมืองมหานคร และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในกลุ่มผู้อยู่อาศัยคอนโดมิเนียม โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจในโครงการนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ MEA จะได้เชื่อมต่อ Platform งานบริการบางส่วนจาก Smart Life Application ในฟังก์ชันสำคัญให้สามารถใช้งานใน Sansiri Home Service Application ซึ่งเป็น Application ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการของแสนสิริ โดยการเชื่อมต่อครั้งนี้จะแล้วเสร็จในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และจะทำให้ผู้ใช้งาน Application สามารถตรวจสอบค่าไฟฟ้า ชำระเงินผ่านการสแกน QR Code หรือ Barcode พร้อมทั้งตรวจสอบประวัติการใช้ไฟฟ้าย้อนหลังได้สูงสุด 6 เดือน อีกทั้งยังมีแผนที่จะพัฒนางานบริการด้านระบบไฟฟ้าอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการรายใดที่สนใจ และมี Application สำหรับผู้อยู่อาศัยในลักษณะดังกล่าว สามารถติดต่อรับการเชื่อมต่อ Platform จาก Smart Life Application ได้
นอกจากนี้ MEA และแสนสิริ ยังได้ร่วมกันดำเนินโครงการนำร่อง MEA Smart Charging for Electric Vehicles ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการเครื่องอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ MEA ผลิตขึ้น โดยการติดตั้งภายในพื้นที่ของแสนสิริครั้งนี้ MEA จะสามารถทดสอบและพัฒนาการใช้งานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ก่อนดำเนินการขยายพื้นที่ให้บริการในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
ที่มา:
รายละเอียดการดำเนินงาน
แสนสิริได้ดำเนินโครงการ Sansiri Sustainability 2020 ปรับรูปแบบโครงการ Sansiri Backyard @ T77 Community ชุมชนแห่งความสุข ด้วยการร่วมมือกับ 4 ธุรกิจ ได้แก่ แบรนด์ปฐม ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ร้านอาหารโรงเสบียง ตลาดต้นไม้ปองโย และไร่กำนันจุล เพื่อเสริมวัฏจักรความยั่งยืนให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ บนพื้นที่ 20 ไร่ ใจกลางกรุงเทพฯย่านสุขุมวิท 77
ที่มา: