บีเอ็มดับเบิลยู (BMW) 2021-11-10T17:46:45+07:00

บีเอ็มดับเบิลยู (BMW)

บีเอ็มดับเบิลยู (BMW) เป็นบริษัทผลิตยานยนต์ของประเทศเยอรมนี บริษัทก่อตั้งในปี ค.ศ. 1916 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นครมิวนิก รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี และได้เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2504 ทั้งนี้ BMW ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจนำไปสู่สมาร์ทกริดเชิงพาณิชย์ในอนาคต ได้แก่ การพัฒนาแบตเตอรี่ การผลิตและจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าและการพัฒนาสถานีชาร์ตไฟฟ้าในประเทศไทย สามารถสรุปรายละเอียดสำคัญได้ดังต่อไปนี้

รายละเอียด:

BMW เปิดตัวโรงงานประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง (high-voltage battery assembly plant) ในประเทศอย่างเป็นทางการ ภายใต้ความร่วมมือกับแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก นับจากปี 2560 โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ได้ประกอบรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด มาแล้ว 4 รุ่น ประกอบด้วย BMW 330e, BMW 530e, BMW X5 xDrive40e และ BMW 740Le

แบตเตอรี่แรงดันสูง

ที่มา:

รายละเอียด:

BMW i3 รถยนต์พลังไฟฟ้าที่มีจำหน่ายในประเทศไทย เป็นรถแฮชท์แบค 3 ประตู รองรับระบบขับเคลื่อนที่ประกอบด้วย แบตเตอรี่ Li-ion ตั้งอยู่ในตำแหน่งตรงกลางเพื่อให้เกิดสมดุลในการขับขี่ที่สุด มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ คอมฟอร์ต (Comfort), อีโค โปร (ECO PRO) และอีโค โปร พลัส (ECO PRO+)

รถยนต์ไฟฟ้า BMW i3

ที่มา:

รายละเอียด:

BMW Thailand ร่วมกับ Central Group, AP (Thailand) PCL และ GLT Green เป็นผู้บุกเบิกโครงการ ChargeNow เครือข่ายการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แห่งแรกสำหรับ PHEVs & EVs สำหรับยานยนต์ทุกแบรนด์และทุกรุ่น โดย BMW Thailand มีเป้าหมายที่จะติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้ครบ 100 สถานีทั่วประเทศไทย

สถานีอัดประจุไฟฟ้าของ ChangeNow

ที่มา:

รายละเอียดการดำเนินงาน

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยโฉม BMW 218i Gran Coupe M Sport ใหม่ เสริมแกร่งตระกูลซีรี่ส์ 3 หลังสร้างผลงานในเซกเมนต์รถหรูด้วยยอดขายจาก ซีรีส์ 7 ซีรีส์ 8 X7 และ i8 โต 39% ขณะที่มินิ คูเปอร์ เอสอี รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกขายหมดตั้งแต่วันเปิดตัว

ตลอดปีที่ผ่านมา BMW ได้สานต่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นระบบผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ BMW Intelligent Personal Assistant หรือ การขายผ่านช่องทางออนไลน์ และยังรวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า ที่บริษัทได้เปิดโรงงานประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง สำหรับรถยนต์ BMW ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) แห่งแรกและแห่งเดียวของภูมิภาคอาเซียนในประเทศไทย พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า BMW i3s ในไทย รวมถึงการเผยโฉมมินิคูเปอร์ เอสอี ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า
ครั้งแรกของภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังผนึกกำลังระหว่างเครือข่ายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทั่วทั้งภูมิภาค ส่งผลให้สามารถให้การบริการที่มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นกับลูกค้า

สำหรับในปี 2563 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะได้ทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง นำโดย BMW ซีรีส์ 2 Gran Coupe ใหม่ล่าสุด รวมไปถึง BMW 330e M Sport รุ่นประกอบในประเทศขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า และ BMW 320d M Sport มีความประหยัดน้ำมันยิ่งกว่าเคย ซึ่งรถยนต์ BMW ซีรีส์ 3 ทั้ง 2 รุ่นนี้ จะได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพการประกอบรถยนต์ ในประเทศของโรงงานที่ระยองโดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย

ขณะที่ รถยนต์ในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปปัจจุบันมีสมาชิกในไลน์อัพรวมทั้งหมด 12 รุ่น และได้ตั้งเป้าขยายทัพรถยนต์ในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าให้ครบ 25 รุ่นภายในปี 2566 โดยกว่าครึ่งของจำนวนนี้จะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน 100%

ที่มา:

รายละเอียดการดำเนินงาน

มินิ นำเข้า Mini Cooper SE 2020 (คูเปอร์ เอสอี) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% จำนวน 25 คัน เปิดตัวในเมืองไทยครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก ราคา 29 ล้านบาท

Mini Cooper SE ใหม่ สืบทอดตำนานความคลาสสิกตามแบบฉบับมินิ 3 ประตู แต่แทนที่เครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า จึงทำให้ Mini Cooper SE ไร้การปล่อยมลพิษได้อย่างแท้จริง โดยระบบส่งกำลังและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมการจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปยังระบบต่างๆ จะติดตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของรถในโครงสร้างรูปทรงท่อ ส่วนแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับ Mini Cooper SE โดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจำนวน 12 โมดูล ติดตั้งในรูปทรงตัว T บริเวณใต้รถ จุพลังงานไฟฟ้ารวม 32.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง

ขุมพลังไฟฟ้าใน Mini Cooper SE เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ล่าสุดที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปได้พัฒนาขึ้น สามารถส่งพละกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า และด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า จึงสามารถส่งแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรได้ทันทีที่เท้าแตะคันเร่งแม้จากรถหยุดนิ่ง ส่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.9 วินาที เทียบชั้นรถสปอร์ต และสามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.3 วินาที Mini Cooper SE ทำความเร็วสูงสุดได้ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในการวิ่งได้ระยะทางสูงสุดราว 217 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)

เอกลักษณ์ความเร้าใจในสไตล์โกคาร์ทที่เป็นตำนานของมินิได้ก้าวสู่มิติใหม่แห่งการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า มาพร้อมการควบคุมที่ปราดเปรียวและแม่นยำด้วยเทคโนโลยีช่วงล่างที่ได้รับการพัฒนาและตั้งค่ามาเพื่อ Mini Cooper SE โดยเฉพาะ โดยจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่าของ Mini Cooper SE อย่างน้อย 30 มิลลิเมตร ยกระดับประสิทธิภาพในการกระจายน้ำหนักและการเข้าโค้งให้เหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ในเซกเมนต์เดียวกัน นอกจากนี้ Mini Cooper SE ยังมาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพ การขับขี่ (DSC) ที่เสริมความสนุกสนานขณะโลดแล่นบนท้องถนนได้อย่างเร้าใจยิ่งขึ้น โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% จากมินิรุ่นแรกนี้ รองรับการตั้งค่าต่าง ๆ ตามสภาวะการขับขี่และรูปแบบการขับขี่ที่เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล โดยมาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, MID, GREEN, และ GREEN+ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่โดยการจำกัดหรือหยุดการทำงานของระบบอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ระบบปรับอากาศหรือระบบอุ่นเบาะที่นั่ง พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อน Mini Cooper SE สามารถชาร์จจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าได้หลายรูปแบบ ทั้งจากปลั๊กไฟในบ้านโดยตรง (อุปกรณ์มาตรฐานของตัวรถ) จากเครื่องชาร์จ MINI ELECTRIC Wallbox และจากสถานีชาร์จสาธารณะ โดยสามารถรองรับหัวชาร์จทั้ง AC และ DC แบบ Type 2 และหัวชาร์จ CCS Combo 2 ซึ่งจะมีไฟบอกสถานะการชาร์จปรากฏอยู่เหนือเต้าเสียบใน 3 สถานะด้วยกัน ได้แก่ ไฟสีส้มขณะเริ่มชาร์จ ไฟกระพริบสีเหลืองระหว่างการชาร์จ และไฟสีเขียวเมื่อชาร์จเต็ม

แบตเตอรี่แรงดันสูงสามารถรองรับสายชาร์จทั้งแบบมาตรฐานและสายชาร์จจาก MINI ELECTRIC Wallbox ที่รองรับกำลังไฟได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ชาร์จถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายใน 2.5 ชั่วโมง และชาร์จเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ภายใน 3.5 ชั่วโมง และหากชาร์จจากสถานีที่เป็นหัวชาร์จแบบ DC fast-charging จะช่วยให้สำรองพลังงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่ง Mini Cooper SE ได้รับการออกแบบมาให้รองรับพลังงานในการชาร์จได้สูงสุด 50 กิโลวัตต์ ชาร์จได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายในเพียง 36 นาที นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกใช้บริการติดตั้งเครื่องชาร์จ MINI ELECTRIC Wallbox ที่สามารถติดตั้งได้ทั้งในโรงรถ และบริเวณที่จอดรถที่มีหลังคา หรือเลือกใช้บริการจากสถานีชาร์จไฟสาธารณะ ChargeNow ซึ่งนับเป็นเครือข่ายสถานีชาร์จสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ส่วนภายใน Mini Cooper SE แผงหน้าปัดมาในดีไซน์เฉพาะรุ่นเช่นเดียวกัน โดดเด่นด้วยจอแสดงผลสีดิจิทัลขนาด 5.5 นิ้ว ในดีไซน์ Black Panel ด้านหลังพวงมาลัย โดยอัตราความเร็วในการขับขี่จะแสดงผลทั้งในแบบตัวเลขและแถบทรงกลมอยู่บริเวณกลางจอด้านข้างเป็นการแสดงข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลเกี่ยวกับระดับพลังงานของแบตเตอรี่แรงดันสูง โหมดการขับขี่ สถานะของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และสัญญาณแสดงสถานะการทำงานของระบบต่างๆ รวมทั้งเวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ โดยจะเปลี่ยนสีไฟตามสถานะการชาร์จ โดยหากมีความผิดปกติใดๆ ในระหว่างการชาร์จ จะแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยไฟสีแดง สำหรับจอระบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้วบริเวณแผงคอนโซล รองรับการแสดงผลจากบริการ MINI Connected ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ เช่น จอ eDrive ที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานและระยะทางที่วิ่งได้ รวมถึงทางเลือกต่างๆ ในการเพิ่มระยะทางในการขับขี่

สัดส่วนต่างๆ ของตัวรถยังคงความคล่องตัวในสไตล์มินิ มาในโครงสร้าง 3 ส่วน เช่น มินิรุ่นอื่นๆ ประกอบไปด้วยโครงสร้างตัวถัง หน้าต่างรอบด้านและหลังคารถ และการออกแบบให้ล้ออยู่ใกล้กับกันชน ซึ่งรวมถึงความกว้างของฐานล้อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนสื่อถึงดีเอ็นเอความเป็นมินิพันธุ์แท้ที่ทำให้ Mini Cooper SE แตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดเส้นสายการออกแบบที่โดดเด่นและชัดเจนสะท้อนถึงเทคโนโลยีการขับขี่แห่งอนาคตที่ล้ำสมัย ส่วนฝาครอบที่ชาร์จไฟฟ้าอยู่เหนือล้อหลังด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับฝาถังน้ำมันของมินิ 3 ประตู บนฝาแสดงสัญลักษณ์ MINI Electric เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างการใช้เชื้อเพลิงน้ำมันและการใช้พลังงานไฟฟ้า สัญลักษณ์นี้ยังปรากฏบริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้าง ประตูท้ายรถ และกระจังหน้า ซึ่งสะดุดตาด้วยแถบสีเหลืองรับกับฝาครอบกระจกข้างในสีเดียวกัน สร้างความโดดเด่นเฉพาะตัวให้แก่ Mini Cooper SE ซึ่งมาพร้อมไฟหน้า LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

Mini Cooper SE 2020 มีราคาจำหน่าย 2,290,000 ล้านบาท รวมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard ครอบคลุมการบำรุงรักษานาน 3 ปี/60,000 กิโลเมตรและการรับประกัน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

ที่มา:

รายละเอียดการดำเนินงาน

BMW iX เตรียมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ประเดิมส่งรุ่น iX xDrive50 Sport นำเข้าทั้งคันจากเยอรมนี ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฟฟ้า BMW eDrive กำลังรวมสูงสุด 523 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ BMW xDrive Electric

ที่มา:

รายละเอียดการดำเนินงาน

BMW iX3 M Sport ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า BMW eDrive ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนขนาด 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางสูงสุด 460 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP

ที่มา: